Blogger templates

2/25/2554

สถานที่ท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมในจังหวัดสระบุีรี



สถานที่ท่องเที่ยวทางวัฒนธรรม

วัดพระพุทธบาทราชวรมหาวิหาร
ตั้งอยู่ที่ตำบลขุนโขลน อำเภอพระพุทธบาท ห่างจากจังหวัดสระบุรีประมาณ  28  กิโลเมตร  
พระมณฑป 
สร้างในสมัยพระเจ้าทรงธรรม  เดิมเป็นมณฑปยอดเดียว  ได้รับการเปลี่ยนเครื่องบน แปลงให้เป็นพระมณฑป  5  ยอดในสมัยพระเจ้าเสือ ภายในเป็น มณฑปน้อย  เป็นที่ประดิษฐานรอยพระพุทธบาท  สร้างในสมัยพระเจ้าทรงธรรม  แต่เดิมมีทองคำหุ้มอยู่  ต่อมาถูกพวกจีนซึ่งอาสา ต่อสู้กับพม่าลอกเอาทองคำไป รัชกาลที่ 1 ได้ทรงปฏิสังขรณ์เมื่อ พ.. 2330  และได้รับการปฏิสังขรณ์เพิ่มเติมในรัชกาลที่ 3  และรัชกาลที่   4
พิพิธภัณฑ์สถานพระพุทธบาท
ในบริเวณวัดพระพุทธบาทราชวรมหาวิหารได้มีพิพิธภัณฑ์สถานพระพุทธบาท  เป็นที่เก็บรวบรวมศิลปวัตถุอันมีค่ายิ่ง  อาทิเช่น  เครื่องทรงของสมเด็จพระเจ้าทรงธรรม   เครื่องลายครามสังคโลก  เครื่องทองสำริดโบราณ   ศาสตราวุธโบราณ  รอยพระพุทธบาทจำลองยอดมณฑปพระพุทธบาทเก่า  พัดยศของพระสมัยต่างๆ   และท่อประปาสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช
บ่อพรานล้างเนื้อ 
ตั้งอยู่ในบริเวณใกล้เคียงวัดพระพุทธบาท มีลักษณะเป็นบ่อหินขนาดย่อม ภายหลังได้มีการเปลี่ยนแปลงก่อเสริมปากบ่อขึ้นที่บริเวณปากบ่อมีรอยเข่าคน  ใกล้บริเวณบ่อนี้มีหินลาดและมีหลุมลึกลงไปมีขนาดเท่ากระป๋องนม  น้ำที่ไหลจากหลุมนี้ถือกันว่าเป็นน้ำศักดิ์สิทธิ์ มีประวัติเล่ากันว่าพรานบุญผู้พบรอยพระพุทธบาทเป็นผู้นำเนื้อมาล้างที่บ่อ   โดยคุกเข่าและก้มลงล้างเนื้อในบ่อ  ส่วนหลุมขนาดเท่ากระป๋องนมนั้น  คือรอยปักหอกของพรานบุญซึ่งมีน้ำไหลออกมาไม่ขาดสาย

พระราชวังโบราณ (พระตำหนักท้ายพิกุล) 
พระราชวังโบราณหรือตำหนักท้ายพิกุล  ตั้งอยู่ติดกำแพงวัดพระพุทธบาทด้านทิศเหนือ   พระราชวังนี้พระเจ้าทรงธรรมทรงสร้างพร้อมกับบริเวณวัดพระพุทธบาท เพื่อเป็นที่ประทับเวลาเสด็จขึ้นไปนมัสการรอยพระพุทธบาท  ได้ชำรุดทรุดโทรมหักพังไปหมด เหลือเพียงกำแพงวังและฐานพระตำหนัก  ฐานเกยช้าง ม้า ต่อมาสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดให้สร้างพระตำหนักทับบนฐานเดิม ปัจจุบันไม่มีซากตำหนักเหลือปรากฏอยู่ คงมีแต่ซากกำแพงเป็นเขตอยู่โดยรอบและที่เกยช้าง
พระตำหนักธารเกษม 
ตั้งอยู่ที่ตำบลขุนโขลน  อำเภอพระพุทธบาท (ในพื้นที่ของสถานสงเคราะห์เด็กหญิงจังหวัดสระบุรี) เป็นตำหนักที่สมเด็จพระเจ้าปราสาททองโปรดฯ ให้สร้างเป็นที่ประทับเมื่อคราวเสด็จนมัสการรอยพระพุทธบาท ณ ริมธารน้ำใต้ธารทองแดง   ซึ่งเป็นที่มีแมกไม้ร่มรื่นเป็นที่สำราญพระราชหฤทัย   เวลานี้หักพังหมดแล้วคงเหลือแต่อิฐและปูนปรากฏให้เห็น 
พระตำหนักสระยอ 
ตั้งอยู่ที่ตำบลขุนโขลน  อำเภอพระพุทธบาท  ซึ่งพระเจ้าปราสาททอง โปรดฯ ให้สร้างพลับพลาตามเส้นทางที่เสด็จไปนมัสการรอยพระพุทธบาท ลักษณะฐานรากของตำหนักเป็นก้อนหินนำมาก่อเสาปูนลักษณะเหมือนกับตำหนักต่างๆ ในบริเวณอำเภอพระพุทธบาท  ที่สร้างในสมัยอยุธยาตอนปลาย  เช่น ตำหนักธารเกษม เป็นต้น
ถ้ำเทพนิมิตธารทองแดง 
อยู่ที่วัดพุคำบรรพต ตำบลพุคำจาน เป็นแหล่งโบราณคดีสมัยก่อนประวัติศาสตร์ ได้พบโบราณวัตถุของมนุษย์สมัยหินใหม่ตอนปลาย มีลักษณะคล้ายกับที่ขุดพบที่บ้านท่าแค บ้านดีลัง และซับจำปา ที่ลพบุรี สันนิษฐานว่ามนุษย์สมัยนั้นในบริเวณดังกล่าวอาจมีความสัมพันธ์กัน ปัจจุบันไม่มีโบราณวัตถุอยู่ในถ้ำแล้ว

ธารทองแดง 
เป็นธารน้ำธรรมชาติอยู่ห่างจากอำเภอพระพุทธบาทประมาณ  3  กิโลเมตร  ต้นธารเกิดจากเขาธารทองแดงในเขตอำเภอพระพุทธบาทและไหลลงไปทาง อ.หนองโดน  สมเด็จพระเจ้าปราสาททอง  โปรดฯ  ให้สร้างพระตำหนักริมลำธาร[1] ได้มีการขุดพบท่อน้ำสามตาที่ริมลำธาร (ปัจจุบันเก็บรักษาไว้ในพิพิธภัณฑ์สถานพระพุทธบาท) ท่อนี้เป็นข้อต่อเหมือนท่อประปาปัจจุบันแต่ใหญ่กว่ามาก เป็นท่อที่ทำด้วยทองแดงขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง  20  ซม. และในบริเวณธารทองแดงนี้ยังพบที่กั้นน้ำ  ที่ระบายน้ำมาใช้ภายในพระตำหนักท้ายพิกุล เป็นเขื่อนก่อด้วยอิฐถือปูน ซึ่งเป็นซากโบราณสถานที่สร้างมาแต่สมัยอยุธยา   ปัจจุบันนี้ยังเห็นสภาพเป็นลำธารแต่ตื้นเขินมากแล้ว ที่ริมลำธารมีแนวเขื่อนก่ออิฐถือปูนปรากฏอยู่[2]

ถ้ำศรีวิไล
 ภายในถ้ำมีพระพุทธเนาวรัตน์ ศิลปะสร้างเลียนแบบสมัยเชียงแสน และยังมีหินงอก หินย้อย สวยงามมาก และสามารถเที่ยวชมทิวทัศน์ตามธรรมชาติ จะเห็นภูเขาสลับซับซ้อนสวยงาม ตั้งอยู่บริเวณวัดถ้ำศรีวิไล ตำบลหน้าพระลาน ระยะทางห่างจากตัวจังหวัด ประมาณ 22 กิโลเมตร


[1] ดำรงราชานุภาพ, สมเด็จฯ กรมพระยา,พระราชพงศาวดาร ฉบับพระราชหัตถเลขา เล่ม 1-2 , ( พระนคร :  โอเดียนสโตร์), 2495
[2] หนังสือที่ระลึกพิธีถวายพระกฐินพระราชทาน  วัดพระพุทธบาทราชวรมหาวิหาร   จังหวัดสระบุรี





สระบุรีสมัยรัตนโกสินทร์

สมัยรัตนโกสินทร์
พ.ศ.2347 พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก โปรดฯ ให้กรมหมื่นเทพหริรักษ์ และพระยายมราชนำทัพไปตีพม่าให้ออกจากเมืองเชียงแสน พม่าแพ้ท่านให้เผาเมืองเชียงแสน รวบรวมผู้คนเชียงแสนได้ 23,000 คน แบ่งออกเป็น 5 ส่วน ส่วนหนึ่ง ให้อยู่เชียงใหม่ ส่วนหนึ่งให้ไปอยู่ลำปาง ส่วนหนึ่งให้ไปอยู่น่าน ส่วนหนึ่งให้ไปอยู่เวียงจันทน์ อีกส่วนหนึ่งให้นำมาใต้ โปรดฯ ให้ตั้งบ้านเรือนอยู่ที่สระบุรี และราชบุรี สระบุรีจึงมีชาวไทยวน (ชาวไทยที่มาจากเชียงแสน) อยู่สืบทอดขยายประชากรไปทุกอำเภอ (เว้นอ.ดอนพุด และ อ.หนองโดน) และขยายไปยังจังหวัดใกล้เคียง เช่น ที่ อ.บ้านหมี่ จ.ลพบุรี อ.ศรีเทพ จ.เพชรบูรณ์ อ.ปากช่อง อ.สีคิ้ว จ.นครราชสีมา อ.วังน้ำเย็น    จ.สระแก้ว มาจนทุกวันนี้ 
ในรัชสมัย พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว มีเหตุการณ์ เกิดขึ้นกับเมืองสระบุรี อันสืบเนื่องมาจาก พ.ศ.2322 ได้นำพระราชวงศ์ลาวมาอยู่ไทยนั้น มีพระโอรสของพร ะเจ้าสิริบุญสาร 4 พระองค์ คือ เจ้านันทเสน เจ้าอินทรวงศ์ เจ้าอนุวงศ์และ เจ้าพรหมวงศ์ มีพระธิดา 1 พระองค์ คือเจ้าหญิง เขียวค้อม (พระนางแก้วฟ้า) สำหรับพระเจ้าพรหมวงศ์มิได้นำมาไทย เมื่อพระเจ้าสิริบุญสารสวรรคตพระมหากษัตริย์ไทยก็ส่งพระโอรสของพระเจ้าสิริบุญสารกลับไปครองเวียงจันทน์ตามลำดับ จนพ.ศ.2347 เจ้าอนุวงศ์ก็ไปครองนครเวียงจันทน์
สมัยรัชกาลที่ 4 พระบาท สมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อ พ.ศ.2400 ได้โปรดฯ ให้บูรณะพระมณฑปพระพุทธบาทและที่ประทับใหม่หลายหลังในพระราชวังท้ายพิกุล ทรงบริจาคพระราชทรัพย์ครั้งนี้เป็นเงิน 441 ชั่ง 4 ตำลึง 3 บาท 1 สลึง 1 เฟื้อง ต่อมาพ.ศ.2403 พระองค์เสด็จมานมัสการพระพุทธบาทอีก ทรงยกยอดพระมณฑปและทรงบรรจุพระบรมธาตุ และได้เสด็จไปนมัสการพระพุทธฉาย แล้วเสด็จประทับที่วัดเขาแก้ว (ปัจจุบันคือวัดเขาแก้ววรวิหาร ต.ต้นตาล อ.เสาไห้ จ.สระบุรี)
พ.ศ.2402-2404 พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสร้างที่ประทับที่ตำบลสีทา (ปัจจุบันคือ หมู่ที่ 8 ตำบลสองคอน อำเภอแก่งคอย จังหวัดสระบุรี และจัดให้เขาคอกเป็นที่ฝึกทหาร
การสร้างพระตำหนักที่บ้านสีทานี้สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงอธิบายไว้ในหนังสือสาส์นสมเด็จว่า ตั้งแต่ทำหนังสือสัญญาทางไมตรีกับฝรั่งมีกงสุลต่างชาติเข้ามาตั้งอยู่ในกรุงเทพฯ ในสมัยนั้นเมื่อไทยกับฝรั่งยังไม่คุ้นกัน ถ้าเกิดโต้เถียงกัน พวกกงสุลมักขู่ว่า จะเรียกเรือรบเข้ามากรุงเทพฯ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ รำคาญพระราชหฤทัย ทรงพระดำริตั้งเมืองลพบุรีเป็นราชธานีสำรองเหมือนอย่างสมเด็จพระนารายณ์แต่มีความเห็นอีกอย่างหนึ่งว่า ควรตั้งที่เมืองนครราชสีมา จึงโปรดฯ ให้พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จขึ้นไปตรวจ แต่ทรงเห็นว่าเมืองนครราชสีมากันดารน้ำนัก พระองค์โปรดที่เขาคอกในแขวงเมืองสระบุรี จึงคิดทำที่มั่นฝึกทหารที่เขาคอกนั้น และสร้างที่ประทับ ณ ตำบลบ้านสีทา ริมแม่น้ำป่าสัก ซึ่งไม่ห่างจากเขาคอกนัก เขาคอกอยู่ที่บ้านท่าคล้อ หมู่ที่ 3 ตำบลท่าคล้อ อำเภอแก่งคอย จังหวัดสระบุรี ลักษณะพิเศษของเขาคอกก็คือ มีภูเขาล้อมรอบเหมือนป้อมปราการ มีช่องทางเข้า-ออก แคบๆ อยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือเป็นช่อง ทางบก 1 แห่ง ถัดไปทางซ้ายราว 30 เมตร เป็นช่องทางน้ำ 1 แห่ง ภายในหุบเขาเป็นที่กว้าง มีพื้นที่ประมาณ 500 ไร่เศษ มีเนินดิน กำแพงหิน พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดให้ใช้เขาคอกเป็นที่ฝึกพลไว้ป้องกันอริราชศัตรู
สำหรับพระตำหนักสีทานั้น สร้างด้วยเครื่องไม้ ครั้นพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวสวรรคตแล้ว พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดฯให้รื้อพระตำหนักลงมาสร้าง  วังพระราชทานพระเจ้าลูกเธอในพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว
ระหว่างที่พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว ประทับอยู่ที่พระตำหนักสีทานี้ พระองค์ทรงคุ้นเคยกับชาวบ้านถิ่นนั้น ซึ่งเป็นไทลาว จนพระองค์ฟ้อนและแอ่วได้ชำนิชำนาญ ถ้าไม่ได้เห็นพระองค์แล้วก็สำคัญว่าลาว พระองค์ได้ทรงสร้างวัดไว้วัดหนึ่งอยู่ใต้วัดสองคอนใต้ลงไป พระองค์ทรงเชิญพระพุทธรูปองค์หนึ่งมาจากเวียงจันทน์ประดิษฐานไว้ที่วัดนี้ต่อมาทั้งวัดและวังสีทาร้างชาวบ้านนำพระพุทธรูปนี้ไปประดิษฐานไว้ที่วัดสองคอนใต้ เมื่อหม่อมเจ้าพระองค์สังวรวรประสาธน์ (หม่อมเจ้าพระชัชวาล) เสด็จมาที่นี่ได้เชิญพระพุทธรูปนี้ไปที่กรุงเทพฯ พวกชาวบ้านเสียดายมาก ถึงกับร้องไห้ก็มี เมื่อหม่อมเจ้าสังวรวรประสาธน์ถึงแก่ชีพิตักษัยแล้ว จึงโปรดให้เชิญพระพุทธรูปนี้มาไว้ที่วัดสองคอนใต้ตามเดิม เป็นที่ปีติยินดีของชาวบ้านนี้มาก
สิ่งที่เกี่ยวข้องกับสระบุรีเกิดขึ้นในสมัย รัชกาลที่ 4 อีกอย่าง คือ แหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งเป็นพระราชพิธีมาแต่โบราณว่า เมื่อมีพระราชพิธีสำคัญจะมีการตักน้ำจากแม่น้ำสำคัญมาทำน้ำมุรธาภิเษกสรงในพระราชพิธี ครั้งหนึ่งพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จตามลำน้ำป่าสักไปยังวังสีทา ได้ทรงหยุดพักที่ท่าน้ำบ้านท่าราบ และสรงน้ำที่หาดที่ราบเนื่องจากพื้นน้ำมีลักษณะเป็น วัง คือ น้ำนิ่งและลึก ใสเย็นกว่าบริเวณอื่น เป็นที่พอพระราชหฤทัยมาก นับแต่นั้นมาถือว่าน้ำท่าราบเป็นน้ำศักดิ์สิทธิ์ ทรงให้นำน้ำแหล่งนี้ไปทำอภิเษกในพระราชพิธีพระบรมราชาภิเษกตั้งแต่รัชกาลที่ 5 สืบมาจนปัจจุบัน รวมกับน้ำแหล่งอื่นเรียกว่า เบญจสุทธิคงคา คือ แม่น้ำบางปะกง (ตักที่บึงพระอาจารย์ จ.นครนายก) แม่น้ำป่าสัก (ตักที่บ้านท่าราบ ต.ต้นตาล               อ.เสาไห้ จ.สระบุรี) แม่น้ำเจ้าพระยา (ตักที่ ต.บางแก้ว จ.อ่างทอง) แม่น้ำราชบุรี (ตักที่ตำบลดาวดึงส์ จ.สมุทรสาคร) แม่น้ำเพชรบุรี (ตักที่ ต.ท่าชัย จ.เพชรบุรี)
รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ก็ได้เสด็จมายังสระบุรีหลายครั้ง บางครั้งก็ทรงจารึกพระปรมาภิไธยย่อ จ.ป.ร.ไว้ ณ สถานที่ที่พระองค์เสด็จ เช่น ที่พระพุทธฉาย ถ้ำวัดพระโพธิสัตว์ ผาเสด็จพัก ถ้ำวิมานจักรี ถ้ำมหาสนุก ศิลาหน้าผาเขาขาด ครั้งที่เสด็จพระพุทธฉาย เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม ร.ศ.115 นั้นได้โปรดให้อาราธนาเจ้าอธิการลันวัดพระพุทธฉายเทศนามหาชาติคำลาวด้วย, ผาเสด็จ หรือ ผาเสด็จพัก อยู่ที่หมู่ ที่ 5 ต.ทับกวาง อ.แก่งคอย
นามเจ้าเมืองสระบุรีคนแรก  ไม่ปรากฏหลักฐาน  คงมีเพียงตำแหน่งบรรดาศักดิ์เจ้าเมืองสระบุรี  ซึ่งปรากฏเด่นชัดในรัชสมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราช   เมื่อ พ.. 2125     ทราบแต่ว่ามีบรรดาศักดิ์เป็น   พระสระบุรีเท่านั้น โดยสันนิษฐานว่า น่าจะเป็นคนไทยภาคกลาง มีหน้าที่คุมรักษาฉางข้าวไว้ให้กองทัพหลวง ครั้งยกไปตีเขมร ซึ่งคงจะเป็นเพราะให้ชาวเมืองสระบุรีสมัยนั้นทำไร่ทำนาเก็บเกี่ยวไว้สำหรับงานสงคราม
จวบจนถึงสมัยรัชกาลที่ 3    เจ้าเมืองสระบุรีบรรดาศักดิ์เป็น  พระยาสุราราชวงศ์       ซึ่งตามพงศาวดาร  ว่าเป็นชนเผ่าลาวพุงดำซึ่งถูกเกณฑ์อพยพมาแต่ครั้ง  เจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก   (รัชกาลที่ 1)  พาทัพไปตีนครเวียงจันท์  (สมัยกรุงธนบุรี)  แล้วมาตั้งรกราก  ณ แขวงเมืองสระบุรี  ..2324 ล่วงถึงสมัยรัชกาลที่ 4  ทางการมีการแต่งชื่อเจ้าเมืองใหม่  ดังนี้
เมืองพระพุทธบาท  (แก้วประศักดิ์ เมืองปุรันตปะ)   เดิมนามว่า ขุนอนันตคีรี ตั้งใหม่เป็นหลวง        สัจจภัญฑคิรี ศรีรัตนไพรวัน เจติยาสันคามวาสีนพคูหาพนมโขลน

เมืองสระบุรี  เดิมนามว่า  ขุนสรบุรีปลัด  ตั้งใหม่เป็น   พระสยามลาวบดีปลัด  ตำแหน่งเจ้าเมืองในสมัยรัชกาลที่ 5  (..2435)  มีการจัดรูปการปกครองใหม่เป็นเทศาภิบาล  โดยจัดตั้งเป็นมณฑลเทศาภิบาล  จังหวัด  อำเภอ  ตำบล  หมู่บ้าน  ลดหลั่นกันลงไป  เมืองสระบุรีขึ้นอยู่กับมณฑล  กรุงเก่า  มีการส่งข้าราชการมาปกครองแทนการตั้งเจ้าเมืองสำหรับที่ตั้งเมืองสระบุรีครั้งแรกไม่ปรากฏหลักฐานที่แน่นอนคงทราบแต่เพียงว่าตั้งอยู่ที่หัวจวนบริเวณบึงหนองโง้ง ใกล้วัดจันทบุรี ตำบลศาลารีลาว  ปัจจุบันคือ  ตำบลเมืองเก่า  อำเภอเสาไห้  มีพระยาสระบุรี (เลี้ยง)  เป็นเจ้าเมือง  ปี พ.. 2433 พระยาสระบุรี (เลี้ยง)  ถึงแก่กรรม  จ่าเริง  เป็นเจ้าเมืองแทน  ได้ย้ายศาลากลางเมืองสระบุรีไปอยู่ที่บ้านไผ่ล้อมน้อย อ.เสาไห้  ( บ้านเรือนที่เจ้าเมืองสร้างอยู่อาศัย  คือ ศาลากลางเมือง )

จนถึงสมัยที่พระยาพิชัยรณรงค์สงครามเป็นเจ้าเมืองเห็นว่า  ตัวเมืองเดิมที่เสาไห้อยู่ห่างไกลจากทางรถไฟมาก  (รัชกาลที่ 5  ได้โปรดให้สร้างทางรถไฟ  สายตะวันออกเฉียงเหนือ  ขึ้นมาถึงเมืองสระบุรี  เมื่อ พ..2439)   ประกอบกับภูมิประเทศไม่เหมาะสมกับสภาพการณ์ในสมัยนั้น  ยากแก่การขยายเมืองในอนาคต  จึงได้สร้างศาลาขึ้นใหม่ ณ บริเวณตำบลปากเพรียว  การก่อสร้างเสร็จในสมัยเจ้าเมืองคนที่ 3  คือ  พระยาบุรีสราธิการ   (เป้า  จารุเสถียร)  ในปี  .. 2509  ก็ได้รื้อและสร้างศาลากลางหลังใหม่ขึ้นแทน[1]




[1] วัฒนธรรม พัฒนาการทางประวัติศาสตร์เอกลักษณ์และภูมิปัญญา จังหวัดสระบุรี,โรงพิมพ์คุรุสภา พ.ศ. 2544



สระบุรีสมัยธนบุรี



สมัยธนบุรี

สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงนิพนธ์เรื่อง ตำนานเมืองสระบุรี ไว้ตอนหนึ่งว่า ในครั้งกรุงธนบุรีนั้น มีศึกพม่ายกมาติดเมืองเวียงจันทน์อันเป็นราชธานีของกรุงศรีสัตนาคนะหุต พวกลาวชาวเวียงจันทน์พากนอพยพหนีพม่าลงมาทางเมืองนครราชสีมาเป็นอันมาก พระเจ้ากรุงธนบุรีจึงโปรดประทานอนุญาตให้ตั้งภูมิลำเนาอยู่ในแขวงเมืองสระบุรี ข้อความนี้บอกว่าครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ลาวมาอยู่สระบุรี เพราะก่อนหน้านี้ไม่ปรากฏอยู่ในพระราชพงศาวดารว่ามีลาวมาอยู่สระบุรี
พ.ศ. 2321 สมเด็จพระเจ้าตากสินทรงมอบให้พระยามหากษัตริย์ศึก (ทองด้วง) และพระยาสุรสีห์นำทัพไปตีนครเวียงจันทน์และยึดนครเวียงจันทน์ได้ ได้นำชาวลาวพร้อมทั้งพระแก้วมรกตและพระบางมาถึงเมืองสระบุรี เมื่อเดือน 4 ปีกุน เอกศก 1441 (พ.ศ.2322) คราวนั้นโปรดฯ ให้ลาวเวียง ลาวหัวเมืองฟากโขงตะวันออกตั้งบ้านเรือนอยู่ที่เมืองสระบุรี ส่วนพระบรมวงศานุวงศ์ของลาวได้นำมายังกรุงธนบุรี ทรงชุบเลี้ยงเป็นอย่างดี สำหรับพระบางนั้นได้คืนไปให้แก่ลาวเมื่อวันที่ 13 มีนาคม 2408   เหตุการณ์ครั้งนั้น ทำให้มีลาวมาอยู่ในเมืองสระบุรีเป็นครั้งที่สอง สืบเชื้อสายมาจนทุกวันนี้
ต่อมาเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก (ทองด้วง) ได้ปราบดาภิเษกเป็นปฐมกษัตริย์แห่งราชจักรีวงศ์ เมื่อวันที่ 6 เมษายน 2325 พระนามว่า พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโบก พระองค์ทรงสร้างกรุงเทพฯ เป็นราชธานีของไทย ในการสร้างพระบรมมหาราชวังและเสาหลักเมืองครั้งนี้ มีเรื่องเล่าสืบกันมาว่า ได้มีพระบรมราชโองการไปยังเหนือหัวเมืองต่างๆ ให้ตัดไม้ที่มีลักษณะดีส่งไปยังกรุงเทพฯเพื่อคัดเลือกเป็นเสาหลักเมือง เมืองสระบุรีได้ตัดไม้ตะเคียนส่งไปยังกรุงเทพฯ แต่ไม่ได้รับการคัดเลือก เสา (วิญญาณแม่ตะเคียนประจำเสา) เสียใจมากจึงลอยทวนกระแสน้ำมาตามลำน้ำป่าสัก หยุดลอยกลางลำน้ำเยื้องที่ว่าการอำเภอเสาไห้ทุกวันนี้ นางไม้ประจำเสาต้นนี้ได้ส่งเสียงร้องไห้คร่ำครวญให้ชาวบ้านได้ยินเสมอ แล้วจมลงใต้น้ำ ณ ที่ตรงนั้นชาวบ้านจึงเรียกหมู่บ้านไผ่ล้อมน้อยว่าบ้านเสาไห้มาจนทุกวันนี้ 



สระบุรีสมัยกรุงศรีอยุธยา

สมัยกรุงศรีอยุธยา
 “เมื่อพระเจ้าหงสาวดีบุเรงนองยกกองทัพมาล้อมพระนครศรีอยุธยา   พระไชยเชษฐาเจ้ากรุงศรีสัตนาคนหุต    ยกกองทัพเมืองเวียงจันท์ลงมาช่วยไทย    เดินกองทัพเลียบลำน้ำป่าสักลงมา  พระเจ้าหงสาวดีให้พระมหาอุปราชคุมกองทัพไปซุ่มดักทางอยู่ที่เมืองสระบุรี  ตีกองทัพกรุงศรีสัตนาคนหุตแตกกลับไป  ดังนี้เป็นอันได้ความว่า  เมืองสระบุรีตั้งมาก่อน พ..2112  แต่จะตั้งเมื่อใดข้อนี้ได้สันนิษฐานตามเค้าเงื่อนที่มีอยู่  คือเมื่อในแผ่นดินสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ  พระราชบิดาของสมเด็จพระมหินทราธิราชนั้น  พระเจ้าหงสาวดีตะเบงชะเวตี้  ยกกองทัพเข้ามาตีกรุงศรีอยุธยา   เมื่อ  พ..2091

ในสมัยนั้นมีเมืองป้อมปราการเป็นเขื่อนขันธ์กันราชธานีอยู่ทั้ง 4 ทิศ  คือเมืองสุพรรณบุรีอยู่ทางตะวันตก  เมืองลพบุรีอยู่ทางทิศเหนือ  เมืองนครนายกอยู่ทางทิศตะวันออก  และเมืองพระประแดงอยู่ทางทิศใต้  กองทัพพระเจ้าหงสาวดียกเข้ามาทาง ด่านพระเจดีย์สามองค์ข้างทิศตะวันตกกองทัพไทยจึงไปตั้งต่อสู้อยู่ที่เมืองสุพรรณบุรี  รับข้าศึกไม่อยู่ต้องถอยเข้ามาเอาพระนครศรีอยุธยาเป็นที่มั่น    จึงได้ชัยชนะ  เป็นเหตุให้เห็นว่าเป็นเมืองที่ตั้งเป็นเขื่อนขันธ์กันพระนครนั้นไม่มีประโยชน์เช่นในอดีต ป้อมปราการที่สร้างไว้  ถ้าข้าศึกเอาเป็นที่มั่นสำหรับทำการสงครามแรมปี  ตีพระนคร  ก็จะกลับเป็นประโยชน์แก่ข้าศึก จึงให้รื้อป้อมปราการเมืองสุพรรณบุรี  เมืองลพบุรี และเมืองนครนายกเสียทั้ง 3 เมือง  คงไว้แต่เมืองพระประแดง  ซึ่งรักษาทางปากน้ำ 

อีกข้อหนึ่งเห็นว่า  ที่รวบรวมผู้คนในเวลาเกณฑ์ทัพยังมีน้อยแห่งนัก  จึงได้ตั้งตัวเมืองเพิ่มเติมขึ้นอีกหลายเมือง  สำหรับเป็นที่รวบรวมผู้คนเพื่อจะได้เรียกระดมมารักษาพระนครได้ทันท่วงที  ในเวลาการสงครามมีมาอีก  เมืองที่ตั้งใหม่ครั้งนั้นระบุชื่อไว้ในหนังสือพระราชพงศาวดาร  แต่ทางทิศใต้กับทางทิศตะวันตก  คือ  เมืองนนทบุรี  1 เมืองสาครบุรี 1 (สมุทรสาคร) เมือง 1 และเมืองนครไชยศรีเมือง 1 แต่ทางทิศอื่นหาได้กล่าวไม่ 

เมืองสระบุรี (และเมืองฉะเชิงเทราเห็นจะตั้งขึ้นในคราวนี้นั่นเอง  คือตั้งเมื่อราว  พ.. 2092  ก่อนปรากฏชื่อในพระราชพงศาวดารเพียง  20 ปี  เหล่าเมืองที่ตั้งครั้งนั้นเป็นแต่สำหรับรวบรวมผู้คนดังกล่าวมา  จึงกำหนดแต่เขตแดนมิได้สร้างบริเวณเมือง  ผู้รั้งตั้งจวนอยู่ที่ไหนก็ชื่อว่าเมืองอยู่ตรงนั้น  ไม่เหมือนเมืองที่ตั้งมาแต่ก่อน  เช่น  เมืองราชบุรี  และเมืองเพชรบุรี  เป็นต้น  เมืองตั้งสำหรับรวบรวมคนเช่นว่ามานี้  มีอีกหลายเมือง  พึ่งมาตั้งบริเวณเมืองประจำที่ทั่วกันต่อเมื่อ     รัชกาลที่  แห่งกรุงรัตนโกสินทร์


สระบุรีสมัยกรุงละโว้ (ลพบุรี) ต่อมาถึงสมัย อโยธยา

สมัยกรุงละโว้ (ลพบุรี)  ต่อมาถึงสมัย อโยธยา

แผนที่แสดงที่ตั้งเมืองโบราณและแนวชายฝั่งทะเลสมัยทวารวดี
มีเมืองขีดขิน  และเมืองอู่ตะเภา  อยู่ในเขตพื้นที่จังหวัดสระบุรี ในปัจจุบัน






ยุควัฒนธรรมเขมร (ระหว่างพุทธศตวรรษที่ 12 – 18 ) นับตั้งแต่ปลายพุทธศตวรรษที่ 15 จนกระทั่งถึงกลางพุทธศตวรรษที่ 18 วัฒนธรรมเขมรได้เข้ามามีอิทธิพลครอบคลุมพื้นที่ภาคกลาง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคเหนือตอนล่าง และภาคใต้ของประเทศไทย มีโบราณวัตถุสถานในแบบศิลปะเขมรจำนวนมากที่สร้างขึ้น ในจังหวัดสระบุรีเองก็ปรากฏร่องรอยของเมืองโบราณในยุควัฒนธรรมเขมร หรือที่นิยมเรียกว่าสมัยลพบุรีอยู่ที่ตำบลบางขโมด อำเภอบ้านหมอ ซึ่งโบราณวัตถุที่ค้นพบจากเมืองโบราณนี้ คือ ทวารบาลและรูปพระโพธิสัตว์ศิลา ก็ได้เก็บรักษาไว้ที่วิหารเล็กหลังมณฑปพระพุทธบาท

นอกจากนี้ตำนานพระพุทธบาทและคำให้การขุนโขลน ยังกล่าวอ้างถึงเมืองโบราณแห่งนี้อีกว่า ภายหลังที่พระเจ้าทรงธรรมทรงสร้างมณฑปสวมรอยพระพุทธบาทแล้ว ทรงอุทิศที่ดินโยชน์หนึ่งโดยรอบพระพุทธบาท ถวายเป็นพุทธกัลปนาเก็บเป็นดอกผลใช้จ่ายดูแลรักษาพระพุทธบาท เนื้อที่กินไปถึงตำบลบ้านหมอด้วย จึงทรงขนานนามเมืองโบราณที่บ้านหมอว่า เมืองปรันตนะหรือเมืองขีดขิน[1]


ท้องที่อันเป็นเขตจังหวัดสระบุรีนี้  แต่โบราณครั้งเมื่อพวกขอมยังเป็นใหญ่ ในประเทศนี้  อยู่ในทางหลวงสายหนึ่ง  ซึ่งพวกขอมไปมาติดต่อกับราชธานีที่นครหลวง  (ซึ่งเรียกในภาษาขอมว่า นครธม)    ยังมีเทวสถาน   ซึ่งพวกขอมสร้างเป็นปรางค์หินไว้ตามที่ได้ตั้งเมือง ปรากฏอยู่เป็นระยะมา  คือ  ในเขตจังหวัด -ปราจีนบุรี  มีที่อำเภอวัฒนานครแห่งหนึ่ง  ที่ดงศรีมหาโพธิ์แห่งหนึ่งต่อมาถึงเขตจังหวัดนครนายก  มีที่ดงละครแห่งหนึ่ง  แล้วมามีที่บางโขมด  ทางขึ้นพระพุทธบาทอีกแห่งหนึ่ง  ต่อไปก็ถึงลพบุรี  ซึ่งเป็นเมืองหลวงของมณฑลละโว้  ที่พวกขอมมาตั้งปกครอง  แต่ที่ใกล้ลำน้ำป่าสักซึ่งตั้งจังหวัดสระบุรี  หาปรากฏสิ่งสำคัญครั้งขอมอย่างหนึ่งอย่างใดไม่ เพราะฉะนั้นเมืองสระบุรีเห็นจะเป็นเมืองตั้งขึ้นต่อเมื่อไทยได้ประเทศนี้จากขอมแล้ว  ข้อนี้สมด้วยเค้าเงื่อนในพงศาวดาร  ด้วยชื่อเมืองสระบุรีปรากฏในเรื่องพงศาวดารเป็นครั้งแรก  เมื่อรัชกาลสมเด็จพระมหินทราธิราช…”[2]



[1] ดำรงราชานุภาพ, สมเด็จฯ กรมพระยา,เที่ยวตามทางรถไฟ (พระนคร : โรงพิมพ์สุทธิสารการพิมพ์), 2509
[2] สำนักงานการประถมศึกษาจังหวัดสระบุรี,วรรณกรรมพื้นบ้านสระบุรี (สระบุรี : 2525), หน้า 26

สระบุรีสมัยก่อนประวัติศาสตร์ไทย

สระบุรีสมัยก่อนประวัติศาสตร์ไทย

บริเวณที่ลาดเชิงเขาและบริเวณที่ราบลุ่มทางฟากตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยา เริ่มตั้งแต่จังหวัดสระบุ ลพบุรี เรื่อยไปจนถึงจังหวัดนครสวรรค์ ได้มีการขุดค้นพบโครงกระดูกเครื่องมือเครื่องใช้และเครื่องประดับที่ทำด้วยหิน แก้ว และสำริด โดยเฉพาะลุกปัดที่ทำด้วยแก้วและหินมีค่า พบค่อนข้างหนาแน่น และยังพบหลักฐานการติดต่อกันระหว่างชุมชนในเขตภาคตะวันออกเฉียงเหนือด้วย พอย่างเข้าสู่ยุคต้นของประวัติศาสตร์ชาติไทยหรือที่นิยมเรียกว่ายุคกึ่งก่อนประวัติศาสตร์ หลังจากที่ชุมชนดังกล่าวได้รับอิทธิพลทางวัฒนธรรมของอินเดียแล้ว ได้มีการพัฒนาขึ้นเป็นเมืองที่มีคูน้ำและคันดินล้อมรอบ[1]





ยุควัฒนธรรมมอญโบราณหรือทวาราวดี (ระหว่างพุทธศตวรรษที่  11 – 16) ในช่วงพุทธศตวรรษที่ 11 – 15 วัฒนธรรมมอญในภาคกลางของประเทศไทย ซึ่งก่อตัวขึ้นจากการรับเอาอารยธรรมอินเดียเข้ามานั้น ได้เจริญรุ่งเรืองจนถึงขีดสุด ดังได้พบโบราณวัตถุสถานจำนวนมาก ที่สร้างขึ้นเนื่องในศาสนาพุทธและศาสนาพราหมณ์ ในบริเวณจังหวัดนครปฐม สุพรรณบุรี ราชบุรี ลพบุรี ปราจีนบุรีและเพชรบูรณ์ เป็นต้น[2] ในจังหวัดสระบุรีก็ได้พบโบราณสถานยุคทวาราวดี คือ ภาพจำหลักนูนต่ำที่ผนังถ้ำพระงาม เขาน้ำพุ ห้องที่อำเภอแก่งคอย เป็นภาพพระพุทธองค์ประทับบนบัลลังค์กำลังทรงแสดงธรรมโปรดพระพรหม พระวิษณุ[3]        


[1] ศรีศักร วัลลิโภดม, “ความก้าวหน้าและข้อคิดเห็นใหม่ในการศึกษาโบราณคดีที่ลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา.” เมืองโบราณ, ปีที่ 10, ฉบับที่ 4 (ตุลาคม ธันวาคม 2503), หน้า 11
[2] กองพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ กรมศิลปากร, นำชมห้องแสดงประวัติศาสตร์ไทยพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนคร (กรุงเทพ : อมรินทร์การพิมพ์), หน้า 5
[3] ธนิต อยู่โพธิ์ ,พรหมสี่หน้า (พระนคร : กรมศิลปากร, 2504),หน้า 11



การเรียกและตั้งชื่อเมืองสระบุรี



การเรียกและตั้งชื่อเมือง

การเรียกชื่อ สระบุรีนั้น สันนิษฐานว่า ตั้งชื่อตามทำเลที่อยู่ใกล้กัน คือ บึงหนองโง้งเมื่อตั้งเมืองขึ้นจึงได้นำเอาคำว่า สระมารวมเข้ากันกับคำว่า บุรีเป็นชื่อเมือง สระบุรี[1] ตามตำนานเชื่อกันว่าเป็นสระที่อยู่หลังวัดจันทบุรี ตำบลเมืองเก่า อำเภอเสาไห้ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงได้มีพระราชวิจารณ์เรื่องชื่อเมืองสระบุรีความว่า

“อนึ่ง เมืองสระบุรีนั้น ในพระราชกำหนดกฎหมายมาแต่โบราณก็เรียกแลเขียนว่าเมืองสระบุรี แต่เดี๋ยวนี้ใครเล่าเป็นอุตริอวดรู้บาลีบาลั่ม มาเรียกบ้าง เขียนบ้างว่า เมืองสุระบุรี “สุร” แปลว่าคนกล้าหรือกล้าอะไรกับลาว ในหลวงก็ไม่ได้ตั้งได้แปลง ใครเล่าอวดรู้อวดดีมาดัดแปลงชื่อบ้านชื่อเมือง ตั้งแต่นี้ไปห้ามอย่าให้ใครเรียกและเขียนใส่ตีนอุว่า สุระบุรี เป็นอันขาด ให้เรียกว่าสระบุรี และเขียนว่า เมืองสระบุรี อยู่ตามเดิมเทอญฯ”[2]
            
             ชื่อเมืองสระบุรีมีปรากฏในหนังสือพระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยาเป็นครั้งแรกในสมัยแผ่นดินสมเด็จพระมหินทราธิราช (พุทธศักราช 2111 – 2112) เมื่อคราวที่พระเจ้าหงสาวดีบุเรงนองยกทัพมาล้อมกรุงศรีอยุธยา พระไชยเชษฐาแห่งกรุงศรีศัตนาหุตยกกองทัพเมืองเวียงจันทร์ลงมาช่วยกรุงศรีอยุธยา เดินกองทัพเลียบลำน้ำป่าสักลงมา พระเจ้าหงสาวดีในพระมหาปุราชาคุมกองทัพไปคุมเพื่อคอยโจมตีอยู่ที่เมืองสระบุรี แล้วตีกองทัพกรุงศรีสัตนาคนหุตแตกกลับไปเมื่อ พ.ศ. 2112 เพราะนั้นจึงทำให้เข้าใจว่าเมืองสระบุรี น่าจะตั้งขึ้นก่อนพุทธศักราช 2112 แต่จะตั้งขึ้นปีใดนั้นก็ไม่สามารถจะหาหลักฐานได้[3]


[1] สำนักงานการประถมศึกษาจังหวัดสระบุรี,วรรณกรรมพื้นบ้านสระบุรี (สระบุรี : 2525), หน้า 2.
[2] ประชุมประกาศ ร.4 ( 2404 – 2404) (พระนคร :  คุรุสภา, 2504), หน้า 24
[3] ตรี อมาตยกุล, ทัศนาสารไทย จังหวัดสระบุรี (พระนคร : โรงพิมพ์ชวนพิมพ์, 2510), หน้า 7 - 8.



ลักษณะภูมิอากาศจังหวัดสระบุรี



ลักษณะภูมิอากาศ
          
          จังหวัดสระบุรีอยู่ภายใต้อิทธิพลของลมมรสุม  2 ชนิด ซึ่งพัดประจำฤดูกาลโดยพัดจากตะวันตกเฉียงเหนือในฤดูหนาวเรียกว่า    มรสุมตะวันออกเฉียงใต้ อิทธิพลของลมนี้จะทำให้บริเวณจังหวัดสระบุรีมีอากาศหนาวเย็นและแห้ง กับมรสุมอีกชนิดหนึ่งคือ มรสุมตะวันตกเฉียงใต้ ซึ่งพัดจากทิศตะวันตกเฉียงใต้เป็นส่วนใหญ่ในฤดูฝน ทำให้อากาศชุ่มชื้นและมีฝนตกทั่วไป พิจารณาตามลักษณะลมฟ้าอากาศของประเทศไทย แบ่งฤดูกาลของจังหวัดสระบุรี ออกเป็น 3 ฤดูดังนี้                     

ฤดูฝน   เริ่มตั้งแต่กลางเดือนพฤษภาคมถึงกลางเดือนตุลาคม เป็นฤดูมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ จะมีลมจากทิศตะวันตกเฉียงใต้ ซึ่งเป็นลมที่พัดจากมหาสมุทรอินเดียนำเอาไอน้ำและความชุมชื้นเข้ามายังประเทศไทย นอกจากนั้นยังมีร่องความกดอากาศต่ำพาดผ่านประเทศไทยตอนบนเกือบตลอดช่วงฤดูฝน  จึงทำให้บริเวณจังหวัดสระบุรีมีฝนตกชุกทั่วไป โดยเดือนที่มีฝนตกมากที่สุดคือเดือนกันยายน

ฤดูหนาว  เริ่มตั้งแต่กลางเดือนตุลาคมถึงกลางเดือนกุมภาพันธ์ ซึ่งเป็นฤดูมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือ จะมีลมเย็นและแห้งจากทิศตะวันออกเฉียงเหนือพัดผ่าน ทำให้มีอากาศเย็นทั่วไป โดยมีอากาศหนาวถึงหนาวจัดเป็นบางวันในเดือนธันวาคมและมกราคม

ฤดูร้อน  เริ่มตั้งแค่กลางเดือนกุมภาพันธ์ถึงกลางเดือนพฤษภาคม ในระยะนี้เป็นช่วงปลอดจากมรสุม จะมีลมจากทิศใต้และตะวันออกเฉียงใต้พัดปกคลุม ทำให้มีอากาศร้อนอบอ้าวทั่วไป เดือนที่มีอากาศร้อนที่สุดคือเดือนเมษายน




ลักษณะทางธรณีวิทยาจังหวัดสระบุรี



ลักษณะทางธรณีวิทยาจังหวัดสระบุรี


            บริเวณพื้นที่จังหวัดสระบุรี  พบหินหลายชนิดที่มีอายุต่างกัน ประกอบด้วยหินตะกอนเป็นส่วนใหญ่ และหินแปรเกรดต่ำเป็นส่วนน้อย มีกำเนิดตั้งแต่ปลายมหายุคพาลีโอโซอิก ซึ่งมีอายุตั้งแต่ 280 ล้านปีขึ้นมาจนถึงประมาณ 265 ล้านปีที่ผ่านมา นอกจากนั้น  ยังพบว่ามีหินอัคนี ทั้งที่เป็นหินอัคนีแทรกซอนและหินอัคนีพุที่เกิดโดยหินหนืดแทรกดัน และพุ่งขึ้นมาจากใต้เปลือกโลกในช่วงปลายมหายุคพาลีโอโซอิก ติดต่อกับมหายุคมีโซโซอิก หรือประมาณ 260-230 ล้านปีมาแล้วที่เหลือเป็นเศษหิน ตะกอนน้ำที่ถูกพัดมาสะสมตัวกันอยู่ในบริเวณที่ราบตะกอนน้ำพา ตั้งแต่มหายุคซีโนโซอิก คือ ในยุคควอเทอร์นารี ซึ่งมีอายุประมาณ  1.8  ล้านปีมาแล้ว  จนถึงปัจจุบัน  
      จากการสำรวจทางธรณีวิทยาเพื่อทำแผนที่ธรณีวิทยา  มาตราส่วน  1:250,000   ซึ่งดำเนินการโดยกองธรณีวิทยา กรมทรัพยากรธรณี ทำให้สามารถทราบว่าบริเวณจังหวัดสระบุรีมีหินโผล่หลายชนิดและมีอายุแตกต่างกันไปทำให้มีแร่ธาตุจำนวนมาก



ลักษณะภูมิประเทศจังหวัดสระบุรี


แผนที่แสดงแหล่งธรรมชาติทางธรณีวิทยาจังหวัดสระบุรี
สภาพภูมิประเทศโดยทั่วไป ตอนเหนือ ตะวันออก มีเนินเขาสลับที่ราบสูง ซึ่งเหมาะในการปลูกพืชไร่ ตอนใต้ ตอนกลางของจังหวัด และตะวันตกส่วนใหญ่เป็นพื้นที่ราบเหมาะในการทำนา แม่น้ำที่สำคัญ คือ แม่น้ำป่าสัก ซึ่งนับว่าเป็นเส้นเลือดใหญ่ของจังหวัดสระบุรี โดยอาศัยน้ำใช้ในการเกษตรและประโยชน์อย่างอื่น แบ่งออกเป็น 2 ลักษณะ คือ

 1. พื้นที่เป็นเขาหย่อมหรือที่ราบสูงและภูเขา ได้แก่บริเวณทางเหนือของอำเภอเฉลิมพระเกียรติ อำเภอแก่งคอย อำเภอมวกเหล็ก อำเภอพระพุทธบาท และอำเภอวังม่วง ซึ่งในเขตพื้นที่ดังกล่าวส่วนมากเป็นพื้นที่ภูเขาที่มีเนินเขาลูกโดดสลับกับที่ราบสูง   โดยเฉลี่ยพื้นที่  ดังกล่าวมีความสูงอยู่ประมาณ 100-500 เมตร จากระดับน้ำทะเลปานกลาง เช่น     ยอดเขาโพลง ซึ่งอยู่ในเขตอำเภอพระพุทธบาทมีความสูงประมาณ 592 เมตร     จากระดับน้ำทะเลปานกลางและในเขตพื้นที่ดังกล่าวในช่วงฤดูแล้ง มักประสบกับปัญหาอากาศร้อนและแห้งแล้งที่ค่อนข้างรุนแรงในแต่ละปี โดยบริเวณนี้มีเนื้อที่ประมาณร้อยละ 40 ของเนื้อที่จังหวัด
              
          2. พื้นที่ราบลุ่ม ได้แก่บริเวณพื้นที่ส่วนใหญ่ทางด้านทิศตะวันตกของจังหวัด บางส่วนอยู่ตอนกลางและตอนใต้ โดยพื้นที่ราบลุ่มดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของที่ราบลุ่มเจ้าพระยามีอาณาเขตอยู่ในพื้นที่อำเภอต่างๆ ได้แก่ อำเภอเมืองสระบุรี บางส่วนของอำเภอหนองแค อำเภอหนองแซง อำเภอบ้านหมอ อำเภอเสาไห้ อำเภอวิหารแดง อำเภอหนองโดน และอำเภอดอนพุด โดยพื้นที่ส่วนนี้มีเนื้อที่ประมาณร้อยละ 60 ของเนื้อที่จังหวัด[1]


[1] กระทรวงมหาดไทย,ยุทธศาสตร์การพัฒนาจังหวัดสระบุรี (พ.ศ. 2553-2556)




Related Posts Plugin for WordPress, Blogger...