สมัยกรุงละโว้ (ลพบุรี) ต่อมาถึงสมัย อโยธยา
แผนที่แสดงที่ตั้งเมืองโบราณและแนวชายฝั่งทะเลสมัยทวารวดี
มีเมืองขีดขิน และเมืองอู่ตะเภา อยู่ในเขตพื้นที่จังหวัดสระบุรี ในปัจจุบัน
ยุควัฒนธรรมเขมร (ระหว่างพุทธศตวรรษที่ 12 – 18 ) นับตั้งแต่ปลายพุทธศตวรรษที่ 15 จนกระทั่งถึงกลางพุทธศตวรรษที่ 18 วัฒนธรรมเขมรได้เข้ามามีอิทธิพลครอบคลุมพื้นที่ภาคกลาง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคเหนือตอนล่าง และภาคใต้ของประเทศไทย มีโบราณวัตถุสถานในแบบศิลปะเขมรจำนวนมากที่สร้างขึ้น ในจังหวัดสระบุรีเองก็ปรากฏร่องรอยของเมืองโบราณในยุควัฒนธรรมเขมร หรือที่นิยมเรียกว่าสมัยลพบุรีอยู่ที่ตำบลบางขโมด อำเภอบ้านหมอ ซึ่งโบราณวัตถุที่ค้นพบจากเมืองโบราณนี้ คือ ทวารบาลและรูปพระโพธิสัตว์ศิลา ก็ได้เก็บรักษาไว้ที่วิหารเล็กหลังมณฑปพระพุทธบาท
นอกจากนี้ตำนานพระพุทธบาทและคำให้การขุนโขลน ยังกล่าวอ้างถึงเมืองโบราณแห่งนี้อีกว่า ภายหลังที่พระเจ้าทรงธรรมทรงสร้างมณฑปสวมรอยพระพุทธบาทแล้ว ทรงอุทิศที่ดินโยชน์หนึ่งโดยรอบพระพุทธบาท ถวายเป็นพุทธกัลปนาเก็บเป็นดอกผลใช้จ่ายดูแลรักษาพระพุทธบาท เนื้อที่กินไปถึงตำบลบ้านหมอด้วย จึงทรงขนานนามเมืองโบราณที่บ้านหมอว่า เมืองปรันตนะหรือเมืองขีดขิน[1]
“ท้องที่อันเป็นเขตจังหวัดสระบุรีนี้ แต่โบราณครั้งเมื่อพวกขอมยังเป็นใหญ่ ในประเทศนี้ อยู่ในทางหลวงสายหนึ่ง ซึ่งพวกขอมไปมาติดต่อกับราชธานีที่นครหลวง (ซึ่งเรียกในภาษาขอมว่า นครธม) ยังมีเทวสถาน ซึ่งพวกขอมสร้างเป็นปรางค์หินไว้ตามที่ได้ตั้งเมือง ปรากฏอยู่เป็นระยะมา คือ ในเขตจังหวัด -ปราจีนบุรี มีที่อำเภอวัฒนานครแห่งหนึ่ง ที่ดงศรีมหาโพธิ์แห่งหนึ่งต่อมาถึงเขตจังหวัดนครนายก มีที่ดงละครแห่งหนึ่ง แล้วมามีที่บางโขมด ทางขึ้นพระพุทธบาทอีกแห่งหนึ่ง ต่อไปก็ถึงลพบุรี ซึ่งเป็นเมืองหลวงของมณฑลละโว้ ที่พวกขอมมาตั้งปกครอง แต่ที่ใกล้ลำน้ำป่าสักซึ่งตั้งจังหวัดสระบุรี หาปรากฏสิ่งสำคัญครั้งขอมอย่างหนึ่งอย่างใดไม่ เพราะฉะนั้นเมืองสระบุรีเห็นจะเป็นเมืองตั้งขึ้นต่อเมื่อไทยได้ประเทศนี้จากขอมแล้ว ข้อนี้สมด้วยเค้าเงื่อนในพงศาวดาร ด้วยชื่อเมืองสระบุรีปรากฏในเรื่องพงศาวดารเป็นครั้งแรก เมื่อรัชกาลสมเด็จพระมหินทราธิราช…”[2]
[2] สำนักงานการประถมศึกษาจังหวัดสระบุรี,วรรณกรรมพื้นบ้านสระบุรี (สระบุรี : 2525), หน้า 26
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น