กระดาษ
เป็นสิ่งจำเป็นที่มีบทบาทสำคัญและเกี่ยวพันกับชีวิตมนุษย์นับแต่อดีตกาล เป็นเครื่องมือช่วยจารึกเรื่องราวต่าง ๆ ใช้เขียนอักษรโต้ตอบเพื่อการสื่อสาร รับใช้ศาสนา ความเป็นอยู่และประเพณี หรือแม้แต่บันทึกประวัติศาสตร์เป็นมรดกให้ลูกหลานได้รู้จักและภาคภูมิต่อชาติพันธุ์ของตน ก่อนยุคสมัยการใช้กระดาษ มนุษย์พยายามทดลองค้นหาวัสดุที่มีผิวเรียบชนิดต่าง ๆ มาใช้ เช่น นำดินเหนียวมาปั้นเป็นแผ่น ใช้กระดูกสัตว์ งาช้าง กระดองเต่า หิน โลหะ ซี่ไม้ไผ่ เปลือกไม้ ใบไม้และผ้าไหมเป็นต้น
ใครค้นพบวิธีทำกระดาษเป็นชาติแรก
แม้ว่าสิ่งต่าง ๆ ที่นำมาใช้บันทึกจะเป็นวัสดุที่ทนทาน แต่ก็ยากลำบากต่อการเก็บรักษา สิ้นเปลืองเนื้อที่ มีน้ำหนักมาก เคลื่อนย้ายไม่สะดวก จึงเป็นเหตุให้มีผู้คิดค้นวัสดุอื่นขึ้นมาใช้แทน ราว 2,000 - 8,000 ปี ก่อนคริสต์ศักราช ชาวอียิปต์โบราณได้ประสบความสำเร็จจากการนำต้น ปาปิรัส (Papyrus) มาบันทึกเรื่องราวต่าง ๆ ให้ชาวโลกได้รับทราบประวัติและวัฒนธรรมอียิปต์อย่างแพร่หลาย แต่นักวิจัยรุ่นหลังยังไม่ยอมรับว่าสิ่งนี้ คือ กระดาษ เนื่องจากวัสดุที่ใช้มิได้เป็นแผ่นเนื้อเดียวกัน เพียงแต่นำเยื่อมาติดซ้อน ๆ กัน
สิ่งที่ชาวโลกยอมรับว่าเป็นกระดาษที่แท้จริง คือ กระดาษที่เป็นแผ่นเนื้อเดียวกัน ค้นพบครั้งแรกในโลกที่ ประเทศจีน ประมาณ ค.ศ. 105 (พ.ศ. 648) และที่เชื่อกันว่า ขุนนางไซลั่น (Is'ai Lun) เป็นผู้คิดค้นวิธีทำกระดาษเป็นคนแรกนั้นไม่ถูกต้อง เนื่องจากมีการค้นพบกระดาษที่มีอายุเก่าแก่กว่านั้นประมาณ 140 ปี ก่อนคริสต์กาล ขุนนางผู้นี้อาจเป็นผู้เสนอการทำกระดาษเป็นทางการต่อ จักรพรรดิโฮ (Ho) และเป็นผู้ส่งเสริมและควบคุมรับผิดชอบการผลิตกระดาษให้กับราชสำนัก แต่การทำกระดาษถูกเก็บเป็นความลับไว้ในแผ่นดินจีนยาวนานกว่า 500 ปี จึงแพร่สู่เกาหลีและญี่ปุ่นเมื่อ ค.ศ. 770 (พ.ศ. 1313) และแพร่หลายเข้าสู่ยุโรปทางเส้นทางการค้าไหม โดยเข้าสู่อียิปต์เมื่อคริสต์ศตวรรษที่ 10 และกระจายเข้าสู่ยุโรปอย่างแท้จริงราวกลางคริสต์ศตวรรษที่ 12 ผ่านทางประเทศสเปนและอิตาลี จากนั้นจึงมีการใช้กระดาษแทนหนังแกะ
โรงงานกระดาษแห่งแรกของโลก
สหรัฐอเมริกา เป็นผู้สร้างโรงงานทำกระดาษขึ้นเป็นชาติแรกเมื่อ ค.ศ. 1690 (พ.ศ. 2233) ณ เมืองฟิลาเดลเฟีย ส่วนเครื่องจักรทำกระดาษประดิษฐ์ขึ้นเป็นครั้งแรกเมื่อ ค.ศ. 1804 (พ.ศ. 2347) โดย เฮนรี่และซิลี ฟูดรินิแอร์ (Fourdrinier) สองพี่น้องชาวฝรั่งเศส
ทำไมจึงเรียกว่ากระดาษ
คำว่า กระดาษ แปลมาจากคำภาษาอังกฤษว่า Paper ซึ่งมีรากศัพท์มาจากคำว่า "Papyrus" ก็คือ ต้นปาปิรัส ที่ชาวอียิปต์นำมาบันทึกเรื่องราวต่าง ๆ นั่นเอง
แต่คำว่า กระดาษ นี้ไม่ใช่คำไทย หากเป็นคำที่แปลงจากคำภาษาโปรตุเกสที่เรียกว่า Cartas เข้าใจว่าโปรตุเกสเป็นผู้นำกระดาษแบบฝรั่งเข้ามาก่อนสมัยอยุธยา คำว่ากระดาษ จึงติดปากใช้กันมาตั้งแต่สมัยนั้น
สมุดไทย สมุดข่อย ประเทศไทยมีกระดาษใช้มาแต่โบราณกาลแล้ว คาดว่ามีมาตั้งแต่สมัยสุโขทัย แต่ขณะนั้นคนไทยยังไม่รู้จักคำว่า กระดาษ ก็เรียกวัสดุนี้ว่า ใบสมุด เพราะคำว่า สมุด หมายถึง เล่ม อย่างคำว่า สมุดไทย เป็นต้น
สมัยต่อมาได้วิวัฒนาการมาใช้เปลือกต้นข่อยตำทำเป็นแผ่นยาว ๆ แล้วย้อมด้วยน้ำมะเกลือให้เป็นสีดำ ตากให้แห้ง จึงเขียนด้วย รงค์ เรียกว่า สมุดข่อย ทั้งยังมีการเขียนด้วยเหล็กปลายแหลมลงใบลาน ภายหลังคนไทยภาคเหนืออาจได้รับอิทธิพลการทำกระดาษสาจากประเทศจีน ได้คิดทำกระดาษสาจากปอสาหรือต้นสาด้วยกรรมวิธีแบบง่าย ๆ จึงได้กระดาษสาที่มีคุณภาพพอใช้
ไม่ปรากฏหลักฐานว่าคนไทยเริ่มทำกระดาษมาแต่เมื่อใด จะมีเพียงหนังสือฉบับเก่าที่สุดของไทยที่เขียนลงบนกระดาษ คือ พงศาวดารฉบับหลวงประเสริฐ ซึ่งเพียงเท่านี้ก็ไม่ทำให้เราทราบเวลาที่แน่ชัดได้เลย
เพราะเหตุใดจึงไม่เรียก "ห้องสมุด" ว่า "ห้องหนังสือ"
เนื่องจากแต่โบราณนานมา คนไทยบันทึกเรื่องราวต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นพงศาวดาร ตำรายา โคลงกลอน ฯลฯ ลงสมุดทั้งสิ้น สมุดนี้เรียกว่า สมุดไทย ทำเป็นกระดาษจากเปลือกต้นข่อยเป็นแผ่นยาว ๆ พับทางขวางทบกลับไปกลับมาคล้ายผ้าจีบ ลักษณะสมุดเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้ามีทั้งชนิดกระดาษขาวและกระดาษดำ ดังนั้น จึงเรียกหอที่ใช้เก็บสมุดว่า ห้องสมุด
ต่อมาเกิดการถ่ายทอดเทคโนโลยีการพิมพ์จากตะวันตก สิ่งที่เก็บอยู่ในห้องสมุดจึงเป็นหนังสือแทบทั้งสิ้น แต่คำที่ใช้เรียก ห้องสมุด หรือ หอสมุด ก็มิได้เปลี่ยนตามเป็นห้องหนังสือหรือหอหนังสือ นับว่าดีแล้วไม่เช่นนั้นคงต้องเปลี่ยนชื่อห้องไปเรื่อย ๆ ตามวัสดุที่เก็บ คำว่า ห้องสมุด พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงบัญญัติขึ้นมาใช้ตรงกับคำภาษาอังกฤษว่า Library
โรงงานกระดาษแห่งแรกของประเทศไทย
ประมาณสงครามโลกครั้งที่หนึ่งราว พ.ศ. 2460 ขณะนั้นกระดาษนำเข้าจากต่างประเทศมีเข้ามาจำหน่ายน้อยและราคาแพงมาก ครั้งแรกโรงงานที่เริ่มต้นผลิตกระดาษยังคงใช้คนงานผลิตด้วยมื อ คิดเฉลี่ยแล้วปีหนึ่งผลิตกระดาษได้เพียง 2.8 ตัน การผลิตกระดาษด้วยแรงคนนี้เป็นการสิ้นเปลืองเวลาและได้ผลน้อย ดังนั้นในระยะต่อมา พ.ศ. 2465 จึงได้เปลี่ยนเป็นการผลิตกระดาษด้วยเครื่องจักร โรงงานกระดาษแห่งแรกของประเทศไทยสร้างด้วยเงินทุนกรมแผนที่ ณ ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาฝั่งตะวันออก ท่าพายัพ ตำบลสามเสน จังหวัดพระนคร (กรุงเทพมหานคร)
หลักการทำกระดาษ
คือ การทำเซลลูโลสเส้นใยให้เป็นแผ่นหนาสม่ำเสมอ เหนียวมีแผ่นหน้าเรียบและมีสีที่เหมาะสม ดังนั้น เซลลูโลสเส้นใยจึงเป็นมูลฐานของกระดาษทุกชนิด วัตถุดิบในการนี้เดิมทีเดียวใช้ ลินิน แต่เมื่อความต้องการกระดาษมีมาก ลินินมีไม่พอจึงได้มีการคิดค้นเพื่อจะใช้พืชอย่างอื่นเป็นวัตถุดิบแทนจนกระทั่งเมื่อประมาณ พ.ศ. 2422 ได้มีการใช้ ไม้ เป็นวัตถุดิบเพื่อนำเยื่อกระดาษมาผลิตกระดาษนั่นเอง พืชเส้นใยที่เหมาะสมผลิตเยื่อกระดาษ นอกจากต้นไม้ชนิดต่าง ๆ แล้วก็มี สน ปอแก้ว ปอกระเจา ปอสา ปอมนิลา หญ้าขจรจบ หญ้าขน ไผ่เพ็ก ฟางข้าว ต้นข้าวฟ่าง ต้นข้าวโพด เศษฝ้าย ชานอ้อย เศษปอ ต้นกระเจี๊ยบแดง ต้นหม่อน ใบสับปะรด ผักตบชวา เป็นต้น
กระดาษมูลสัตว์
จากปัญหาสิ่งแวดล้อมของมูลสัตว์ที่ถ่ายเป็นปริมาณสูงมากต่อหนึ่งวัน เช่น ช้างกินอาหาร วันละ 200 - 300 กิโลกรัมต่อเชือก ฟาร์มเลี้ยงม้า เลี้ยงแพะ ที่สัตว์ขับถ่ายมูลออกมามากมายในแต่ละวันมากมายจนต้องคิดเอามูลสัตว์มาทำให้เกิดประโยชน์ด้วยแนวคิดว่ากระดาษทำมาจากเยื่อไม้ ฉะนั้น หากนำมูลสัตว์ เช่น มูลช้าง มูลม้า มูลแพะ ซึ่งเป็นมูลที่ย่อยสลายจากพืชจำพวกอ้อย ใบไผ่ กล้วย หญ้ามาผ่านขั้นตอนกระบวนการผลิตด้วยมือเหมือนกระดาษสาทุกประการ เพียงแต่เติมหัวน้ำหอมลงไปก็น่าจะทำเป็นกระดาษได้ การทดลองได้ผลเป็นที่น่าพอใจมาก เพราะผลิตออกมาแล้วใช้ได้ดี มีความละเอียดเหนียวแน่นทนทาน ปราศจากกลิ่นเหม็น หากนำกระดาษสามาเปรียบเทียบกันจะดูไม่ออกเลยว่าชิ้นไหนเป็นกระดาษสา ชิ้นไหนเป็นกระดาษมูลสัตว์ สามารถนำมาผลิตสินค้าตามต้องการได้ เช่น ทำดอกไม้ประดับ ทำกล่อง ทำร่ม โคมไฟฟ้า สมุดไดอารี่ ปกหนังสือ และใช้ห่อของขวัญ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น